ใน พ.ศ. 2562 (ค.ศ. 2019) ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศไทยรวมทั้งส่วนที่เกิดจากแหล่งปล่อย (Emission from source) และส่วนที่ดูดกลับ (Removal by Sink) ของประเทศ พบว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้ง 5 ภาค (ไม่รวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน) เพิ่มขึ้นจาก 245.90 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) เป็น 372.12 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.21 ต่อปี ปริมาณการดูดกลับก๊าซคาร์บอนออกไซด์ (CO₂) เพิ่มขึ้นจาก -45.44 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ใน พ.ศ. 2543 เป็น -91.99 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
         ใน พ.ศ. 2562 ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (รวมภาคป่าไม้และการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน) เพิ่มขึ้นจาก 200.46 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เป็น 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ใน พ.ศ. 2562 โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 ต่อปี เมื่อจำแนกพิจารณา 5 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคพลังงานมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เท่ากับ 260.77 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 69.96 รองลงมา คือ ภาคการเกษตรมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 56.76 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 15.23 ภาคกระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 38.30 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 10.28 และภาคของเสียมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด 16.88 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นร้อยละ 4.53 อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ พ.ศ. 2543 - 2562 พบว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีปริมาณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ (รวมภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน) พบว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2566)
          สำหรับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้ภาคพลังงานใน พ.ศ. 2565 โดยรวมเท่ากับ 247.7 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จาก พ.ศ. 2564 โดยในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงจาก พ.ศ. 2564 ร้อยละ 6.68 และ 3.25 ตามลำดับ ในขณะที่ภาคการขนส่ง และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นจาก พ.ศ. 2564 ร้อยละ 17.88 และ 8.44 ตามลำดับ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน, 2566)